ผู้นำยุคใหม่ กับอาการสำคัญ 7 ประการ

     การเป็นผู้นำยุคใหม่นี้ต้องมีความรู้ และประสบการณ์รอบด้านจริงๆๆ ไม่ได้บอกให้เลิกเป็นผู้นำ หรือกลัวการเป็นผู้นำนะค่ะ ตอนที่เป็นพนักงานก็มีความฝันว่าอยากเป็นหัวหน้า แต่พอเป็นแล้ว จากประสบการณ์ที่ได้ไปโค้ชน้องๆๆ ที่กำลังก้าวขึ้นตำแหน่งใหม่ มีคำว่าหัวหน้า กับตัวเองนั้น มีอาการดังต่อไปนี้ อาจตรงกับท่านผู้อ่านหรือไม่ตรง สามารถนำมาแลกเปลี่ยนกันได้นะค่ะ

7 อาการ แสนทรมาน(หรือสุขที่ได้พัฒนา) สำหรับผู้นำยุคใหม่นี้
     1. ความกลัว ฟังแล้วก็เหมือนกับอาการทั่วไปของ คนที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนะค่ะ แต่จากการสัมภาษณ์น้องๆที่กำลังอยู่ในภาวะนี้มีความกลัวมากมาย เช่น กลัวเอาตัวไม่รอด กลัวดูแลทีมไม่ได้ กลัวงานไม่เสร็จ กลัวหัวหน้าตำหนิ กลัวๆๆ ไม่ทำดีกว่า หากเราทำตามความคิด ตามความสามารถที่ได้วางแผน ขีดเขียนไว้ ผลงานก็จะรับประกันได้ดีกว่า
     2. ความกังวล ฟังแล้วเป็นชีวิตประจำวันของหลายคนก็ว่าได้ค่ะ (คิดป้องกันไว้ก่อน คิดหาทางไว้ล่วงหน้า) แล้วก็หยุดการทำทุกสิ่งเพราะมัวแต่คิดกังวล จนหมดเวลา หากเราดำเนินชีวิตเป็นปกติไม่คิดไปก่อน มองแต่ปัจจุบัน อนาคตก็มีสิทธิ์ลุ้น
     3. ความระแวง ฟังแล้วเหมือนคนบ้า แต่เป็นเรื่องจริงของคนปกตินี่แหละค่ะ เนื่องจากตอนเป็นเด็ก เป็นลูกน้องทำเขาไว้เยอะ ก็เลยระแวงว่า น้องๆ จะเอาคืน เช่น มาสาย ขี้เกียจ ไม่ให้ความร่วมมือ ระแวงมากๆ เข้าก็เลยเป็นคนหน้ายักษ์แบบไม่ได้ตั้งใจ หากเราเลิกระแวง ทำงานตามเป้าหมายและแผนงานก็อาจชนะใจทีมงานได้
     4. ความท้อแท้ ฟังแล้วก็ไม่อยากทำอะไรแล้วค่ะ ยังไม่ได้เริ่ม หรือเจออุปสรรค เล็กน้อย ก็ท้อแท้ หมดเรี่ยวแรง ซะแล้ว การเดินทางเพิ่งเริ่มต้น หากเปรียบเทียบกับเกมส์ที่น้องๆ ชอบเล่น ก็คือเป็นเพียงด่านหนึ่งที่ต้องฝ่าฟัน และพิสูจน์ เพื่อก้าวไปสู่ ด่านที่ยากขึ้น เข้มข้นขึ้น หากเราเลิกท้อแท้ ทำตามเป้าและแผนก็น่าจะเป็นการเล่นเกมส์ที่สนุกขึ้น
     5. ความคิดด้านลบ (ทัศนคติเชิงลบ) เป็นเพื่อนเราในทุกเวลา แต่เคยลองถามตัวเองบ้างมั้ยว่า จะกอดคอกับความคิดเชิงลบไปอีกนานเท่าไร หันมาลองฟังความคิดด้านบวกบ้างจะดีขึ้นมั้ย ความคิดของเราสามารถเลือกได้ว่าจะคิดอย่างไร หากท่านรักตัวเอง ลองฝืนคิดตรงข้ามหรืออีกอย่าง กับสิ่งที่คิดแว้บแรกดูค่ะ จะส่งผลให้ท่านมีความสุขกับการดำเนินชีวิตมากขึ้น
     6. ความอิจฉา ริษยา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่อยากให้ตัวเองดีขึ้น เก่งขึ้น แต่เป็นแนวทางที่ผิด หรือคิดไม่ถึงว่าจะบั่นทอนชีวิตของเราให้แย่คง อย่างน้อยก็ทำให้เลือดสูบฉีดเยอะขึ้น หัวใจทำงานหนักขึ้น หากเรารู้ เราเห็นอะไรที่ดีกว่า หรือคิดว่าควรเป็นของเรา ลองฝึกบอกตัวเองว่า “เราควรพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อคุณค่าของเราที่ดีกว่าในอนาคต” หรือ “เรายังไม่ได้ทำอะไรอีกบ้าง” เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเราให้ไปใช้พลังงานในเรื่องที่เหมาะสม แล้วเป็นประโยชน์ต่อตัวเรามากขึ้นด้วย
     7. ความรู้สึกเสียหน้า ทุกคนต้องการการยอมรับ ต้องการใช้คนอื่นชม จึงมีความรู้สึกว่า ฉันไม่เก่งพอ เดี๋ยวจะเสียหน้า หรือหากทำไม่ได้ ก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง หน้าฉันบางมาก ศักดิ์ศรีก็เยอะ ลองหันมาบอกตัวเองซิว่า หากท่านทำไม่ได้ก็ถูกต้องแล้วที่ต้องยอมเสียหน้า แต่มีวิธีที่ดีกว่าค่ะ คือวางเป้าหมาย วางแผน นำเสนอ ให้ผู้บริหารย้อนกลับข้อมูล ท่านจะได้แผนงานที่ดีขึ้น อาการเสียหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น หรือหากยังเสียหน้าอยู่ ลองคิดอีกแบบไหวมั้ยค่ะ ว่าดีจังฉันได้สัมผัสกับอาการเสียหน้าแล้ว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเลย (รสชาติเป็นเช่นนี้เอง)

วิธีจัดการมี 2 อย่างค่ะ
     1. แก้ไข คือการรักษาให้อาการทุเลาลงด้วยการฝึกฝน ด้วยการ นำกระดาษมา 1 แผน ขีดเป็นตัวที หรือพับกระดาษเป็น 2 ข้าง ส่วนหัวเขียนอาการ ส่วนซ้ายเขียนข้อดี ส่วนขวาเขียนข้อเสีย แล้วลองเขียนแบบชิวๆๆ ว่าได้ข้างละกี่ข้อ หากมีข้อดีเยอะก็เก็บไว้ก่อน หากมีข้อเสียเยอะก็ถามตัวเองว่าจะเริ่มต้นจากการแก้ ไขจุดไหนก่อน มั่นใจว่าท่านยอมรับตัวท่านเองได้เมื่อใด การเปลี่ยนแปลงของท่านจะมาจากใจตัวเอง โดยตัวเอง เพื่อตัวเอง แน่นอน แล้วจะเริ่มพบความสุขที่แท้จริง
     2. ยึดมั่น ถือมั่น เป็นต่อไปด้วยความคิดของท่าน (หากยังไม่อยากเปลี่ยน กับการมีความทุกข์ที่ท่านเลือกเอง)

การที่ท่านจะแก้ไขอาการ หรือรักษาให้หายได้นั้น ท่านต้องยอมรับ และอยากรักษาด้วยตัวเอง เพื่อตัวเอง ในการเป็นผู้นำยุคใหม่ หน้าใส ไร้กังวล = คุณจะเป็นผู้ควบคุมการกระทำ หรือเป็นผู้ถูกควบคุม สามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง เพื่อตัวเอง