โดยทีมงานเอ็นเทรนนิ่ง 24 ธันวาคม 2556 1,543 0
หน้าแรก / ห้องสมุดเอ็นเทรนนิ่ง / บทความร่วมเดินทางด้วยกัน / ร่วมเดินทางด้วยกัน ตอนที่ 9
23 ม.ค. 2557 อ่าน 651 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
21 ก.พ. 2557 อ่าน 642 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
24 มี.ค. 2557 อ่าน 663 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
23 เม.ย. 2557 อ่าน 741 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
20 พ.ค. 2557 อ่าน 690 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
20 มิ.ย. 2557 อ่าน 847 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
“อีโก้มีหน้าตาเป็นอย่างไร” “ทำไมคนเราถึงต้องมีอีโก้”
“อีโก้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อไหร่ ตอนไหน”
“มีแล้วดีอย่างไร มีแล้วไม่ดีอย่างไร”
“หากมีแล้วดีคงไม่ต้องลด หากมีแล้วไม่ดีจะลดอย่างไร”
“ลดแล้วจะลงไหม ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่”
“ลงแล้วจะไม่มีอีโก้จริงหรือ หรืออีโก้มันก็ยังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เราคิดไปเองว่ามันไม่มีแล้ว”
คำถามมากมายเกี่ยวกับอีโก้ ในหัวของผมได้ถาโถมเข้ามาแบบไม่ยั้งทันที เมื่อจุดเปลี่ยนของชีวิตมาถึง และเมื่อจุดเปลี่ยนนั้นได้ผ่านล่วงไปแล้วถึงสามปี ผมเองก็ได้มีโอกาสพบกับคนรู้จักคนหนึ่งที่เคยร่วมงานกันมาก่อน เรานัดทานอาหารมื้อเย็นกันที่ร้านแห่งหนึ่งย่านใจกลางธุรกิจ ขณะที่เรากำลังสนทนา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนรู้จักคนนี้ได้บอกกับผมว่า “รู้ไหม เมื่อก่อนเวลาจะเข้าไปคุยงานกับคุณ ไม่ค่อยกล้าเข้าไปหาเลย” พอได้ฟัง ผมเองก็แปลกใจมาก เพราะตัวของเราเองก็ค่อนข้างจะเป็นมิตรกับคนทุกคนอยู่แล้ว เลยถามกลับไปว่า “ทำไมจึงไม่ค่อยกล้าเข้ามาหาผม” คนที่รู้จักจึงบอกว่า “ภายนอกคุณดูเป็นมิตรก็จริง แต่ความรู้สึกภายในไม่ใช่ คนที่จะเข้าหาคุณกลับไม่ได้รู้สึกอย่างที่ภายนอกคุณเป็น เขาไม่กล้าเข้าหาคุณเลย ถ้าไม่จำเป็น” ไม่ใช่แค่คนที่ผมรู้จักคนนี้คนเดียว แต่รวมถึงคนอื่นๆด้วย ได้ฟังเช่นนั้น ผมเองตกใจเล็กน้อย และคิดในใจว่า “นี่เป็นความรู้สึกของคนรอบข้างที่ผมรู้จักหรือนี่ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ตัวผมเองในวันนั้น กับตัวผมเองในวันนี้ ต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว วันนั้นทำให้ผมได้เริ่มมองเห็นอีโก้ที่ตนเองมี มีโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว และคิดเสมอมาตลอดว่าตนเองนั้นไม่เคยมีอีโก้ และนั่นเป็นความคิดที่ตนเองรู้สึกว่าไม่มีมาตลอดอยู่เพียงฝ่ายเดียว
จริงๆ แล้ว เราทุกคนมีอีโก้ด้วยกันแทบทั้งสิ้น เพียงแต่อีโก้นั้นจะอยู่ในรูปลักษณ์ที่คนอยากจะเข้าหา หรืออยากจะออกห่าง
อีโก้ในรูปลักษณ์ที่คนอยากจะเข้าหา เปรียบเสมือนหมอกจางๆในยามเช้า เห็นแล้วรู้สึกดี ไครๆก็อยากจะเข้าหาสัมผัสจับต้อง อีโก้ในรูปลักษณ์ที่คนอยากจะออกห่าง เปรียบเสมือนควันไฟ เห็นแล้วรู้สึกไม่ดี ไครๆก็ไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้
เหตุผลต่างๆมากมายที่ทำให้คนเราเกิดอีโก้ขึ้นมาเองโดยที่คนๆนั้นเองก็ไม่รู้ตัว หรืออาจจะรู้ก็ได้ เหล่านี้เป็นการก่อสร้างกับดักให้กับตนเองอย่างช้าๆ ยิ่งนานวันกับดักที่เราได้สร้างขึ้นก็จะแน่นหนาแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เราจะมีวิธีรู้ได้อย่างไรหละว่า “เรากำลังสร้างอีโก้ให้กับตนเองอย่างช้าๆแต่มั่นคงขึ้นเรื่อยๆ” ง่ายมากครับ วิธีการที่เราจะล่วงรู้ตนเองว่าตนเองนั้นมีอีโก้อยู่หรือไม่ มากหรือน้อยแค่ไหน ก็เพียงแค่ “มองดูตนเองว่า เรายึดติดกับอะไร มากขึ้นแค่ไหน หรือน้อยลงเท่าไร” ผมขอยกตัวอย่างแบบง่ายๆครับ ทุกท่านสามารถนำไปใช้มองดูตนเองได้ทันที
เราคิดและรู้สึกกับตำแหน่งงานในตอนนี้มากน้อยแค่ไหน หากเรายังอยู่หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งงานนี้ เราจะเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ดีใจหรือเสียใจ สมหวังหรือผิดหวัง
เราคิดและรู้สึกกับการปฏิบัติกับเราจากคนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน หากคนรอบข้างปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติกับเราอย่างที่เคยเป็น เราจะเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ดีใจหรือเสียใจ สมหวังหรือผิดหวั
ไม่ว่าคำตอบของตนเองจะออกมาเช่นไร ดีหรือไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ คิดหรือไม่คิด สมหวังหรือผิดหวัง มีความสุขหรือมีความทุกข์ ฯลฯ สุขมากก็เป็นอีโก้อย่างหนึ่ง ทุกข์มากก็เป็นอีโก้อย่างหนึ่ง เหล่านี้ล้วนก่อเกิดเป็นอีโก้ให้กับตนเองแทบทั้งสิ้น ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ลดอีโก้ลงได้ คือต้องรู้จักพิจารณาความคิดความรู้สึกของตนเองให้ได้ก่อน ณ ขณะนั้น
หากเรื่องใดที่สุขมากเกินไป เรื่องนั้นจะสร้างสารแห่งความสุขเคลือบคนๆนั้นไว้ จนคนๆนั้น ไม่อยากย่างกรายเข้าไปหาเรื่องที่อาจจะก่อให้เกิดทุกข์แม้เพียงน้อยนิด ดังนั้นจึงต้องฝึกที่จะลดความสุขนั้นลง เช่น
ใครที่ชอบไปที่ๆมีแสงสีเสียง ก็ต้องฝึกที่จะลดลงบ้าง ไปในที่ๆไม่มีแสงสีเสียงดูบ้าง อรรถรสของชีวิตก็จะพบเห็นทางจากทั้งสองฟากฝั่ง ได้เรียนรู้ความคิดความรู้สึกของตนเองในทันที ว่าเรายึดติดกับฝั่งใดมากกว่า ตัวของเราก็จะสร้างสารเคลือบหรืออีโก้ไปทางฝั่งนั้น และเมื่อเราไม่ได้ไปอยู่ในฝั่งที่เรายึดติดมากกว่า เราก็จะเกิดทุกข์ทุรนทุรายในทันที ไม่ใช่ที่ภายนอก แต่เป็นที่ภายใน ในใจของเราเอง
ใครที่ชอบขับรถเก๋งไปไหนมาไหน ชีวิตไม่แตะกับรถสาธารณะแบบอื่นเลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สารเคลือบหรืออีโก้ก็จะถูกสร้างให้กับคนๆนั้นโดยไม่รู้ตัว และเมื่อมีเหตุให้ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถสาธารณะ คราวนี้แหละชีวิตจะเป็นทุกข์เป็นกังวลขึ้นมาทันที บางคนกลัวความลำบาก บางคนกลัวภาพลักษณ์จะไม่ดี บางคนกลัวเหงื่อจะออก บางคนเกรงจะไม่สะดวกสบาย และอีกหลากหลายเหตุผล
หากเรื่องใดที่ทุกข์มากเกินไป เรื่องนั้นจะสร้างสารแห่งความทุกข์เคลือบคนๆนั้น จนคนๆนั้นไม่ย่างกลายเข้าหาทุกเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความสุขเลยแม้เพียงน้อยนิด ก็ต้องฝึกที่จะลดความทุกข์นั้นลง เช่น
ใครที่ชอบคิดกังวลจมอยู่กับความทุกข์ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไร แต่ความคิดความรู้สึกก็จมอยู่กับทุกข์ที่อาจจะผ่านไปแล้วหรือยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ ความคิดความรู้สึกจมอยู่อย่างนั้น สีหน้าท่าทางของเราก็จะสร้างสารเคลือบหรืออีโก้ จนคนรอบข้างไม่กล้าเข้าหา เพราะคนรอบข้างเราสามารถรู้สึกสัมผัสได้ ถึงแม้เราเองอาจจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาก็ตาม
วันที่ท่านสามารถลดอีโก้ของท่านได้ จะไม่มีไครรู้ว่าท่านสุขหรือทุกข์ จะไม่มีไครรู้ว่าท่านเคยผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง จะไม่มีไครดูออกว่าท่านเป็นไครมาก่อน แต่คนรอบข้างรู้สึกอยากจะอยู่ใกล้ๆท่าน อยากจะพูดคุยกับท่าน โดยที่ท่านไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเพียงแค่ส่งยิ้มให้
ท่านที่อ่านบทความนี้ ขอให้อ่านอย่างช้าๆ และพิจารณาอย่างช้าๆ ไปตลอดการอ่าน หากมีจุดใดที่ท่านสงสัย ก็ขอให้ท่านย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งและค่อยๆพิจารณาอย่างช้าๆ แล้วท่านจะพบคำตอบซึ่งท่านเองก็อาจจะกำลังปฏิบัติอยู่ก็เป็นไป
ในตอนหน้าผมจะชวนคุณร่วมเดินทางกันต่อไปกับเรื่องของ “รางวัลชีวิต” หลายท่านคงเคยพูดถึงคำนี้เป็นแน่ และหลายท่านก็คงเคยให้รางวัลกับตนเองในหลายๆเรื่องราว แล้วมาพบกันในตอนหน้าครับ “รางวัลชีวิต”
23 ม.ค. 2557 อ่าน 651 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
21 ก.พ. 2557 อ่าน 642 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
24 มี.ค. 2557 อ่าน 663 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
23 เม.ย. 2557 อ่าน 741 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
20 พ.ค. 2557 อ่าน 690 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
20 มิ.ย. 2557 อ่าน 847 หมวด ร่วมเดินทางด้วยกัน
หมวด Leadership อ่าน 4,130
หมวด Leadership อ่าน 3,007
หมวด Leadership อ่าน 4,113
หมวด Softskill อ่าน 4,244
หมวด หลักสูตรเฉพาะวิทยากร (Other) อ่าน 15,791
หมวด Softskill อ่าน 4,555
หมวด Advance Leadership อ่าน 2,849
หมวด Advance Leadership อ่าน 2,425