โดยทีมงานเอ็นเทรนนิ่ง 16 มกราคม 2563 11,006 0
หน้าแรก / ห้องสมุดเอ็นเทรนนิ่ง / บทความหมวด การโค้ชงาน / 5 องค์ประกอบของการโค้ช
17 ก.พ. 2563 อ่าน 6,350 หมวด การโค้ชงาน
24 พ.ย. 2563 อ่าน 876 หมวด การโค้ชงาน
24 พ.ย. 2563 อ่าน 762 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 971 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 883 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 1,018 หมวด การโค้ชงาน
พูดถึง การโค้ช แต่ละคนก็จะมีการให้ความหมายที่แตกต่างกันไป และมักแยกไม่ค่อยออกว่า บทบาทของโค้ช กับบทบาทในแง่การพัฒนาบุคลากรอื่นๆ ในองค์กร แตกต่างกันอย่างไร เมื่อแยกไม่ได้ เวลาจะต้องใช้จึงเกิดการสับสน ทำให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นในการนำไปใช้ตามมา เพราะไม่แน่ใจในผลที่จะได้รับ ดังนั้นก่อนจะเรียนรู้เรื่องการโค้ช เรามาทำความรู้จักกับการโค้ชโดยคร่าวๆ กันดูก่อนดีกว่า
สำหรับตัวผมเอง เวลาพูดถึง การโค้ช ผมจะแบ่งองค์ประกอบของการโค้ช ออกเป็น 5 ส่วน คือ
1. หลักการโค้ช
2. บทบาทโค้ช
3. ทักษะการโค้ช
4. กระบวนการโค้ช
5. เครื่องมือการโค้ช
คือในการโค้ช ควรจะมีครบทั้ง 5 ส่วน จึงจะเกิดประสิทธิภาพ แต่ความจริงแล้ว ถึงเราจะไม่ได้เป็น โค้ชมืออาชีพ การเข้าใจและฝึกปฏิบัติในแต่ละส่วน ก็ช่วยทำให้เรามีอิทธิพลต่อคนรอบตัวเราในทางดีขึ้น และสามารถนำไปใช้ร่วมกับรูปแบบการพัฒนาบุคลากรแบบอื่นๆ ได้
ในแง่ของหลักการ สำหรับตัวผมเอง การโค้ช คือ การพาคนจากที่หนึ่ง ไปอีกที่หนึ่ง ตามที่เขาต้องการ ดังนั้น การที่เราจะโค้ชใครสักคนได้ เขาต้องมีเป้าหมายที่เขาเองต้องการเสียก่อน เขาต้องรู้ก่อนว่าตนเองอยากไปไหน เพื่ออะไร แต่ในเมื่อองค์กรมอบหมายเป้าหมายมา เราก็จะต้องทำให้เขาเห็นให้ได้ก่อนว่า เป้าหมายขององค์กรจะเป็นเป้าหมายของเขาได้อย่างไร แล้วทุกวันนี้ เป้าหมายของทีมเรา กลายเป็นเป้าหมายของคนในทีมเราทุกคนหรือยัง คิดว่า เราจะทำอย่างไรได้บ้างครับ ในการทำให้ทุกคนยอมรับเป้าหมายทีมหรืองค์กร ไปเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายของเขาเอง
การสร้างความชัดเจนของเป้าหมาย การสร้างแรงจูงใจ โน้มน้าวใจทำให้เห็นประโยชน์ในเป้าหมาย การสร้างการมีส่วนร่วม การคิดเป้าหมายร่วมกัน เป็นหลากหลายวิธีการที่ใช้ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่า เป้าหมายคือของเขา ไม่ใช่ของตัวเรา
บทบาทของโค้ช สำหรับผม เราเป็นเพียงกระจกเงาที่สะท้อนให้เขาเห็นความเชื่อ ความคิด ความรู้สึก ของเขา ต่อเป้าหมายของเขาเอง สิ่งที่ทำให้เขายังไม่ไปถึงเป้าหมาย ไม่ใช่เพราะไม่มีศักยภาพ เพียงแต่เขายังมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นตัวฉุดรั้งเขาไว้ และการเป็นกระจกเงาของเรา จะช่วยส่องให้เขาเห็นภาพตัวเขาเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้เขาเห็นว่าเขามีมุมมองเป็นบวกหรือลบ เขามีความเชื่อที่จำกัดหรือส่งเสริม ต่อการไปสู่เป้าหมาย แล้วลูกน้องของเรา หรืออาจเรียกว่า (Coachee) จะเป็นผู้เลือกเองว่า เขาต้องการจะปรับเปลี่ยนสิ่งใด เขาจะต้องก้าวข้ามหลุมพรางทางความคิดตัวไหน เขาจึงจะสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ โค้ช จึงอาจไม่ใช่ทั้งผู้ผลัก หรือผู้ดึงเขาไปสู่เป้าหมาย เป็นเพียงแค่คนที่ยืนข้างๆ เขา หรือเต้นรำไปพร้อมกับเขา เท่านั้นเอง ดูสบายดีใช่ไหมครับ
แล้วเมื่อเทียบกับบทบาทของเราในทุกวันนี้ เรายืนอยู่ตรงไหนครับ ข้างหน้า ข้างหลัง หรือเดินเคียงข้างไปกับ น้องๆ ในทีมของเรา
ส่วนทักษะในการโค้ชแทบไม่มีความแตกต่างกับทักษะการสื่อสารที่เราใช้ในการทำงานทุกวันนี้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็น การฟัง การตั้งคำถาม และการสะท้อนหรือให้ข้อมูลย้อนกลับ เพียงแต่วัตถุประสงค์ในการใช้อาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่สิ่งที่จะทำให้ทักษะนี้มีความแตกต่าง ขึ้นอยู่กับเราใช้บนบทบาทอะไร เช่น ในแง่ของการฟัง และการตั้งคำถาม ถ้าเราใช้บทบาท คุณครูหรือผู้สอนงาน (Teacher) เราก็จะพยายามฟังว่า ลูกน้องของเราขาด ความรู้ (Knowledge) เรื่องอะไร เราจะถามเพื่อตรวจสอบความรู้ของเขาว่าถูกต้องหรือไม่ ต้องแก้ไขความรู้เรื่องใด
ถ้าเราใช้บทบาท ผู้ฝึกสอน (Trainer) เราก็จะฟังแล้วประเมินว่า เขาขาดทักษะ (Skill) เรื่องไหน เราก็จะถามเพื่อประเมินระดับทักษะความสามารถของเขาว่าเหมาะสมเพียงพอกับงานหรือไม่
ถ้าเราใช้บทบาทโค้ช (Coach) เราก็จะฟังแล้วมองหาว่า คนของเรามีความเชื่อความคิดข้อใด ที่กลายเป็นข้อจำกัดของเขา เราก็จะถามหา วิธีการที่จะทำให้ตัวเขาเองหลุดพ้นจากสถานการณ์นั้น เพื่อไปถึงจุดหมาย
คงพอเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า การใช้องค์ประกอบแต่ละส่วน บนวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง ทำให้เราได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน แล้วปกติ เราใช้ทักษะเหล่านี้อย่างไร เพื่อวัตถุประสงค์อะไร
ส่วนกระบวนการโค้ช (Coaching Process) สำหรับตัวผมเอง ผมชอบใช้ Mirror Model ร่วมกับ GROW Model ในการเดินกระบวนการ ผมขออนุญาตอธิบายในส่วนของ GROW Model สั้นๆ ดังนี้ครับ กระบวนการจะเริ่มจาก การตั้งเป้าหมาย (Goal) แล้วตรวจสอบสถานะปัจจุบันของเราว่าห่างจากเป้าหมายเพียงใด (Reality) หลังจากนั้นก็เป็นการสร้างพื้นที่เปิด เพื่อค้นหาทางเลือกที่จะไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ (Option) สุดท้ายกำหนดวิธีการที่คิดว่าเหมาะสม และตอบโจทย์มากที่สุดเพื่อกับไปปฏิบัติ (Way Forward) เพียงเท่านี้ เราก็สามารถเดินกระบวนการโค้ช ตั้งแต่ต้นจนจบได้
และสุดท้ายองค์ประกอบที่มีความหลากหลายมากที่สุด คือ เครื่องมือ ที่เราจะเลือกนำไปใช้ครับ ผมขอยกตัวอย่าง การฟัง บนกระบวนการ GROW Model ขั้น Reality นะครับ ในคำพูดสั้นๆ ของโค้ชชี่ ที่รำพึงว่า “เขากลัวว่า เขาจะทำงานนี้ได้ไม่ดี เขาจึงอยากปฏิเสธงานนี้” ถ้าเราใช้เครื่องมือ ของ Brain Base Coaching เราอาจพบว่า เขาใช้สมองส่วนอารมณ์ เขากำลังใช้สัญชาตญาณเอาตัวรอด ถ้าเราใช้เครื่องมือของ Life Coaching เราอาจพบว่า เขากำลังกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ (Fear of Not Good Enough) ถ้าเราใช้เครื่องมือของ Mindfulness Coaching เราอาจพบว่า เขากำลังขาดศรัทธาต่อตนเอง (Trust) ดังนั้น แม้จะเป็นคำพูดเดียวกัน จากคนคนเดียวกัน ในสถานการณ์เดียวกัน สิ่งที่โค้ชอย่างเรามองเห็นในตัวโค้ชชี่ ก็ยังมีความแตกต่างกันออกไป
แล้วเราชอบและถนัดเครื่องมือชิ้นไหนมากที่สุด
ซึ่งเมื่อเราเข้าใจ และสามารถนำเอาทั้ง 5 องค์ประกอบการโค้ช มาใช้ร่วมกัน ก็จะทำให้เรากลายเป็น โค้ช ที่จะสามารถพาคนรอบตัวเราเดินไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเขาเอง เริ่มอยากเป็น โค้ช มากขึ้นบ้างหรือยังครับ
17 ก.พ. 2563 อ่าน 6,350 หมวด การโค้ชงาน
24 พ.ย. 2563 อ่าน 876 หมวด การโค้ชงาน
24 พ.ย. 2563 อ่าน 762 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 971 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 883 หมวด การโค้ชงาน
4 ธ.ค. 2563 อ่าน 1,018 หมวด การโค้ชงาน
หมวด Coaching อ่าน 4,161
หมวด Advance Coaching อ่าน 2,361
หมวด Coaching อ่าน 5,141
หมวด Advance Coaching อ่าน 234
หมวด Tooling Program อ่าน 873
หมวด Tooling Program อ่าน 826
หมวด หลักสูตรเฉพาะวิทยากร (Other) อ่าน 1,033
หมวด Advance Coaching อ่าน 291