Improve your performance, just start with changing only one thing

ผมคิดว่าในเวลานี้ไม่มีใครที่ต้องการให้ตัวเองมีผลงานที่ย่ำอยู่กับที่หรือถดถอยลงเป็นแน่ ในยุคสมัยนี้ผลงานเป็นเครื่องยืนยันการอยู่รอดทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและองค์กรอย่างแท้จริงแล้ว ใครที่ยังไม่เชื่อมั่นต่อคำกล่าวที่ว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานนั้น คงต้องกลับไปคิดใหม่แล้วนะครับ เพราะความจริงที่ว่าผู้ที่ทำได้มากกว่าและดีกว่าย่อมมีชัยเหนือคู่แข่งเป็นจริงอย่างที่สุด หรืออาจจะพูดแบบนี้ให้ใกล้ตัวขึ้นอีกหน่อยก็ได้ครับว่าค่าตัวของคนอยู่ที่ผลของงานครับเพราะ กระแสกำลังมาแรงจากการที่หลายๆ องค์กรได้ให้ผมเข้าไปช่วยพัฒนาปรับปรุงระบบการประเมิน ผลการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กร เพราะต้องการจะชี้ให้ชัดจับให้มั่นว่าใครคือของจริงจะได้จ่ายผลตอบแทนได้อย่างยุติธรรม ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องความเป็นธรรมในการพิจารณาผลตอบแทนให้กับบุคลากรนั้นเป็นปัญหาของ เกือบทุกองค์กรในช่วงปลายปีต่อต้นปีที่มีการประเมินผลงานเพื่อขึ้นเงินเดือนจ่ายโบนัสกัน รับรองได้ว่าจะต้องมีทั้งคนที่ประหลาดใจเพราะได้มากกว่าที่คิดไว้และที่น้อยใจเพราะไม่ได้รับสมกับ สิ่งที่ได้ทำให้กับองค์กรแน่ๆ มากบ้างน้อยบ้างตามจุดอ่อนและข้อบกพร่องของระบบการประเมินผลที่ใช้กันอยู่ จนบางครั้งองค์กรต้องสูญเลียบุคลากรทรงคุณค่าไปอย่างน่าเสียดายเพราะน้อยใจแล้วลาออกไปหรือ คู่แข่งมาฉกตัวไปเพราะให้ผลตอบแทนที่มากกว่า ไว้ผมจะนำเสนอเรื่องการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างไรให้ส่งเสริมทั้งคนและองค์กรในรายละเอียดเป็น อีกหัวข้อหนึ่งในบทความต่อๆไป

การที่ผมบอกว่าผลงานคือความอยู่รอดและผลตอบแทนของคนทำงานนั้น ผมไม่ได้ประสงค์ให้เราต้องมองผู้คนรอบข้างเพื่อนร่วมงานเป็นศัตรูหรือคู่แข่งที่ต้องฟาดฟันให้ดับสิ้นไปข้างหนึ่งนะครับ แม้ว่าในความเป็นจริงจะต้องมีผู้ที่ดีกว่าและด้อยกว่าเสมอในการประเมินผลงาน แต่กำลังจะสื่อว่าในทุกวันนี้ที่ยืนในสังคมสำหรับแต่ละคนนั้นหาได้ยากและพื้นที่ก็เล็กลงด้วย หรือในทางธุรกิจตามที่แจ็คเวลช์เคยกล่าวไว้ว่าหากไม่เป็นที่หนึ่งก็ต้องเป็นที่สองไม่เช่นนั้นก็อย่าทำธุรกิจต่อไป ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในเชิงกลยุทธ์ของจีอีในยุคที่แจ็คเวลช์บัญชาการอยู่ที่สามารถทำให้จีอีผงาดได้อย่างยิ่งใหญ่ โลกนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้แพ้ ใครทำได้ดีกว่าคนนั้นก็จะอยู่รอดปลอดภัยครับ ถ้ายังเห็นไม่ชัดเจนผมจะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันไปเลยน่าจะอธิบายเรื่องผลงานกับความอยู่รอดได้อย่างโดนใจเห็นกระจ่างโดยไม่ต้องสาธยายความมากนัก ใครที่เป็นแฟนบอลและชอบดูฟุตบอลลีกของต่างประเทศน่าจะเข้าใจดีโดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่อยู่ในช่วงปลายฤดูกาล จะเห็นอาการชัดเจนของการดิ้นรนหนีตายของทีมที่มีผลงานย่ำแย่กับอีกโซนหนึ่งในทางตรงข้ามที่แย่ชิงกันเข้าวินเป็นแชมป์ ซึ่งเท่าที่สังเกตมานานทีมที่จะสมหวังนั้น ทั้งที่หนีตายสำเร็จและได้แชมป์ไปครองนั้น ทักษะความสามารถก็ไม่ได้เหนือไปกว่าทีมที่ผิดหวังอย่างชัดเจน บางครั้งยังเหนือกว่าด้วยซ้ำไปทั้งในระดับตัวผู้เล่น ผู้จัดการ โค้ช แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันคือความนิ่งและความเชื่อมั่นของทั้งทีมว่าจะสามารถทำได้อย่างที่หวังไว้ เรื่องที่ดูเหมือนจะยากก็กลายเป็นง่ายเพราะความอยากที่จะชนะหรือรอดตายมันอยู่เหนือความยากที่ถูกหลอกฉาบทับเอาไว้

ผมกำลังจะบอกอะไรจากตัวอย่างที่ยกมานี้ ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเรื่องที่หลายๆ คนมองข้ามหรือไม่เคยเข้าใจกลไกของความสำเร็จและผลงานดีๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น แล้วไปบอกว่าเป็นความโชคดีหรือโชคช่วยจึงทำได้เช่นนั้น แต่แท้จริงแล้วมันคือผลของการมีพลังใจที่เข้มแข็งต่างหากที่ช่วยให้ได้มาซึ่งผลงานและความสำเร็จเหล่านั้น แล้วพลังใจที่เข้มแข็งเกิดขึ้นจากอะไรอันนี้น่าจะเป็นคำถามที่หลายคนคงตั้งข้อสงสัยอยู่ในตอนนี้ ผมยังไม่ตอบคำถามนี้ครับมันจะเป็นการดูถูกภูมิปัญญาของท่านมากเกินไป เอาเป็นว่าผมขอให้เป็นการบ้านสำหรับท่านไปค้นหาก่อนว่า พลังใจอันเป็นที่มาของความสำเร็จหรือผลงานที่ดีเยี่ยมนั้นมันมีต้นกำเนิดมาจากอะไร ทำไมคนบางคนจึงมีพลังใจที่ดีอยู่เสมอในขณะที่บางคนไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ปรากฏระหว่างคนสองกลุ่มนี้มักจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลการปฏิบัติงาน ฐานะทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง สัมพันธภาพในครอบครัว ฯลฯ อย่าตอบแบบรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมานะครับว่า ที่เป็นแบบนั้นน่ะเนื่องจากคนบางคนโชคดีคนบางคนโชคไม่ดีนะครับ เพราะในความเชื่อส่วนตัวของผมแล้วคนเราสามารถบ่มเพาะหรืออัญเชิญสิ่งที่ถูกเรียกกันว่าความโชคดีในชีวิตให้มาสิงสถิตเป็นการถาวรในตัวเราได้ครับ บอกใบ้คำตอบให้แล้วนะครับแล้วผมจะมาบอกเล่าต่อครับว่าถ้าอยากให้ผลงานดีมีพัฒนาการเยี่ยม ขอให้เริ่มเปลี่ยนแค่สิ่งเดียวสิ่งนั้นคืออะไร